วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พระมหาวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร

 



   วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร เป็นสถานที่ใช้เป็นที่ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังในช่วงวันปกติ เปิด ๙.๐๐ - ๑๑.๔๕น. และ ๑๔.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. และทำวัตรเย็นเจริญกรรมฐาน (แบบปกติ) เวลา ๑๗.๐๐ - ๑๘.๔๕ น.





ภายในวิหาร ๑๐๐ เมตรเป็นวิหารที่ปิดด้วยประจกใสเกือบทั้งหมดเป็น ที่ไว้พระศพองค์หลวงพ่อ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) ที่ประดิษฐานของพระประธาน (ทรงพุทธชินราช) และของสำคัญหลายอย่าง...ฯลฯ



สร้างวิหาร ๑๐๐ เมตรขึ้นมาได้อย่างไร

โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

มีหลายท่านพยากรณ์ราคา เอาราคาเยอะเสียอีกแล้ว บางท่านถามว่าถึง ๑๐๐ ล้านไหมครับ บางท่านถามว่าถึง ๗๐ ล้านไหมครับ บางท่านก็ถามว่า ถึง ๓๐ ล้านไหมครับ แต่ท่านที่ถามว่า ๓๐ ล้านสร้างไม่ได้แน่ แต่อาตมาก็ขอบอกจริงๆ ราคา ๑๐ ล้านเศษ ไม่ใช่ ๓๐ ล้าน ไม่ใช่ ๑๐๐ ล้าน ไม่ใช่กี่ร้อยล้าน ไม่ใช่อย่างนั้น

ราคาจริงๆ ๑๐ ล้านเศษ เฉพาะตัวอาคารที่เป็นคอนกรีตทั้งหม รวมช่อฟ้า หน้าบัน พระพุทธรูป อะไรต่ออะไรหมดเสร็จไม่เกิน ๗ ล้านบาท และค่าหินอ่อนอีก ๑,๒๖๔,๓๔๑ บาทค่ากระจกที่ปิด ๔,๔๗๗,๗๘๕ บาท รวมค่าหินอ่อนกับค่ากระจก ๕,๗๔๒,๑๒๖ บาท

และต่อไปค่าแรงอีกไม่มากนัก เพราะแรงงานนี้เอาคนใกล้ๆตำบลนี่มาทำงานกันเป็นอันว่าช่างก่อสร้าง ๓ ช่าง ๓ กลุ่ม หัวหน้าช่างจบ ดุษฎีบัณฑิตประถม คำว่าดุษฎีบัณฑิตประถมก็เพราะว่าในสมัยนั้นวิชาการที่บังคับให้เรียน บังคับแค่ ป.๔ ฉะนั้นทั้ง ๓ ช่างนี่จบ ป.๔ ทั้งหมดเลย เรียกว่าเรื่องประถมนั้นไม่ต้องเรียนอีก เป็นดุษฎีบัณฑิตไปเลย

และสำหรับช่างปั้นนั้นช่างทำความสวยงามคือ นายประเสริฐ แก้วมณี กับนางจำเนียร แก้วมณี ..ภรรยา สามี..เป็นช่างปั้น ภรรยาเป็นช่างประดับ ทั้สองคนนี่เก่งมาก็จบชั้นเดียวกัน คือ ป.๔ เหมือนกัน เป็นอันว่าช่างที่นี่เป็นช่าง ป. ๔ และเจ้อาวาสก็เป็นคน ป.๔ เหมือนกัน







(ในสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านมักจะออกเดินตรวจงานก่อสร้าง หลังจากรับแขกในตอนเย็นอยู่เสมอ)



การก่อสร้างพระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแรกเริ่มทีเดียวพระเดชพระคุณหลวงพ่อไม่ได้คิดจะสร้างพระวิหาร แก้ว ๑๐๐ เมตรให้ใหญ่โตมโหฬารแบบนี้ ขณะนั้นปี พ.ศ.๒๕๒๘ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ป่วยหนักเรียก ว่าเข้าขั้นตรีฑูตหมอก็ได้ ทำการรักษาเป็นอย่างดี

แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อคิดว่าอย่างไรปี พ.ศ. ๒๕๒๙ คงจะไม่รอดแน่ เพราะสภาพ ของร่างกาย อยู่ในสภาพที่ใช้อะไรไม่ได้เลย ดูด้านไปหมดและหมดสภาพ จึงนึกถึงพระพุทธเจ้าและนึกในใจว่าอยาก จะสร้างพระใหญ่ๆ แต่ไม่ใหญ่มากนักจะสร้างพระยืนสัก ๓๐ ศอก และพระนั่งหน้าตัก ๘ ศอก ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๙ ก็ได้สร้างพระยืน ๓๐ ศอก เหลือการสร้างพระนั่งก็คิดว่า จะเอาเงินมาจากไหน

ต่อมามีผู้มีจิตศรัทธาคือ คุณสุชาดี มณีวงศ์ ได้นำเงินถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินทำบุญ แบบไม่เจาะจง แล้วแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะใช้จ่ายตามอัธยาศัย เป็นอันว่าก็ได้เงินเริ่มต้นสำหรับการสร้างพระ ๘ ศอก จำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท

(หมายเหตุ : คุณสุชาดี มณีวงศ์ เป็นผู้จัดทำรายการ "กระจกหกด้าน" ทางทีวีสีช่อง ๗)



ต่อมา คุณจันทนา วีระผล ทราบข่าว ก็ได้นำเงินมาถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก ๒๐๐,๐๐๐ บาทเพื่อสร้างพระ ๘ ศอก ความตั้งใจเดิมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จะสร้างพระนั่ง หน้าตัก ๘ ศอก บริเวณที่ดิน ๑๐๐ เมตรปัจจุบัน (ขณะนั้นยังไม่มีวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร) จะสร้างแท่นสูง ๆ หน่อย แล้วทำหลังคาแบบมีเสา ๔ เสา มุงสังกะสี ต่อมาพอ ได้เงินเพิ่มมาก็คิดว่าจะสร้างให้ดีสักหน่อย มีช่อฟ้าหน้าบัน เอาขนาดเล็กๆ ราคาไม่แพงมากนัก



ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๓๐ ก็ได้ปรึกษากับพระท่านว่า จะสร้างพระ ๘ ศอกที่ไหนดี ถ้าสร้างที่ ๑๐๐ไร่ไม่ค่อยเหมาะสม เพราะอยู่ลึกไป พื้นที่ก็เป็นที่ลุ่ม ให้ซื้อที่หลังโรงพยาบาล (บริเวณที่ ๑๐๐ เมตรปัจจุบัน) และให้สร้างตรงนั้นจะเหมาะดีมาก

ปรากฎว่า ขณะนั้น เจ้าของที่กำลังขายกันอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ได้กราบ เรียนให้พระท่านทราบพระท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรให้ไปติดต่อจะจัดการให้ ซึ่งก็ได้ซื้อที่ตรงนั้น เนื้อที่ ๒๗ ไร่ จ่ายจริงประมาณ ๒๔ ไร่ ที่เหลือเจ้าของที่ถวายให้วัด

ประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ ได้ปรึกษาพระท่านว่าจะสร้างตรงไหนดี อาคารควรจะสร้างเสา ๔ เสา หรือ เสาดี เพราะ มีเงินทุนประมาณ ๒๓๐,๐๐๐ บาทเศษ พระท่านบอกว่า พระพุทธรูป ที่จะสร้างองค์นี้ (พระประธาน วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร) มีความสำคัญมาก และพระท่านได้ชี้สถานที่จะสร้างพระ เพราะที่ตรงนั้นแต่เดิม โบราณเขาฝังพระบรม สารีริก ธาตุ ไว้



เมื่อสร้างพระพุทธรูป ทับไว้แล้วคนจะได้ไม่ทำลาย พระบรม สารีริกธาตุและไม่เดินข้ามไปมา พระท่านได้แนะนำ การสร้างอาคารโดยยกพื้นขึ้นมาประมาณ 1เมตร และยกเสาขึ้นมาประมาณ ๑ เมตร แล้วทำ พื้นเอากว้าง ๒๘ เมตร และยาว๑๐๐ เมตรพอพระท่านบอกอย่างนั้น พระเดชพระคุณ หลวงพ่อลมขึ้น (จะเป็นลม) เพราะว่า มีเงินแค่ สองแสน เศษ แต่จะสร้างวิหาร กว้าง ๒๘ เมตร ยาว ๑๐๐ เมตร

ในที่สุดก็ได้กำหนดอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งต้นทิศตะวันตก หันทางยาวไปทางทิศตะวันออกกำหนด ตั้งแต่พระ ประธาน ๘ ศอก โดยให้สร้างรูปแบบ พระพุทธชินราช ต่อมาญาติโยมก็ทำบุญเข้ามาเรื่อยจึง ได้ติด กระจกภายในทั้งหมด สำหรับหลังคา พระท่าน ให้ทำเป็นมุข ๓ มุข เป็นยอด ๓ ยอด หมายถึง เป็น การบูชาพระไตรลักณาคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

และต่อมาพระท่าน ได้ให้ต่อเฉลียง ออกมาอีก ๑๒ เมตร ความยาว ๑๐๐ เมตร เพื่อจะได้มีบริเวณ โปร่งๆ บริเวณเฉลียง ก็ได้สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า (ดังรูป) พระองค์ ท่านมีความสัมพันธ์กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อมากพระองค์หนึ่ง บริเวณด้านหน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรได้สร้าง มณฑป พระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งก็เป็นพระที่มีความสำคัญ ยิ่งเช่นเดียว กัน และสร้างมณฑปหลวงปู่ปาน ซึ่งท่านเป็น อาจารย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ



โดยจะขอนำอีกเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงหลวงพ่อในงานพุทธาภิเษกบวงสรวง ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ตอนต้นเริ่มบวงสรวงเสร็จ ทุกคนสมาทานเสร็จ และหลวงพ่อก็บอกให้ภาวนาตอนนั้นหลวงพ่อก็ขอพรขอพรว่าผลในคราวนี้เป็นอย่าง นั้น อย่างนี้บ้าง ใช่ไหม อันดับแรกปลอดภัยทุกอย่าง หรือร่ำรวยอย่างนี้เป็นต้น พอขอไปได้ ๓ ข้อ ท้าวเวสสุวัณเอาหนังสือมากาง บอก ว่าวันนี้ท่านทำ ๓๐ ข้อ หลวงพ่อเลยเลิกขอเลย(หัวเราะ) เราขออย่างเก่งก็ ๕ - ๖ ข้อใช่ไหม

ท้าวเวสสุวัณมาถึงกา หนังสือปั๊บ..บอกว่า "ท่านครับ วันนี้พระพุทธเจ้าท่านทำ ๓๐ ข้อ" ถามอะไรบ้าง ท่านบอกข้อปลีกย่อยทุกอย่าง แต่ว่าหวยคงไม่ออก ๓๐ นะ นี่ฉันไม่ได้ใบ้หวยนะ นี่ฉันบันทึกเสียง จะหาว่าฉันให้หวยไม่ได้นะ ก็เป็นอันว่า วันนี้ท่านสงเคราะห์ ๓๐ ข้อ อะไรบ้าง ไม่ทราบ ข้อปลีกย่อยทุกอย่าง มาตอนท้ายก็พูดถึงการทำ วันนี้ท่านนั่งกันเป็นระยะๆ

พระพุทธเจ้าสูงสุด เต็มหมดนะ และก็รองลงมาหน่อยพระปัจเจกพุทธเจ้า รองลงมาก็เป็นพระอรหันต์หมด ด้านซ้ายมือ ของเรา แต่ขวา มือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ทางด้านโน้น ใช่ไหม ขวามือของท่านเป็นพรหม พรหมเต็มและซ้ายมือของท่าน ก็ท่าน ปู่พระอินทร์ เป็นเทวดาเต็ม และท่านท้าวมหาราช ๔ องค์คุมที่ของทั้งหมดที่โน้นและก็ท่านอินทกะทั้งหมดยืนล้อมอยู่ และยาวออกไปข้างนอกไกลมาก



เทวดาชั้นจาตุมหาราชอยู่เป็นทิศ คือทิศใครทิศมันคราวนี้เห็นจะ ไม่ใช่นับพันแล้ว มาช่วยทำประมาณ ๑๕ นาทีคงไม่พลาดนักหรอกเพราะว่าลืมตาดูนาฬิกา ก็ทางด้านทิศเหนือเห็นเทวดา ชั้นจาตุมหาราช องค์หนึ่งวิ่งจากทิศตะวันออกไปด้านทิศตะวันตกแต่วิ่งไม่ไกล ถามท่านท้าวมหาราชบอกว่า วิ่งไปทำไม ท่านบอกว่ามีผีคน ส่งมาเข้ามา แต่ไม่ได้ใกล้วิหารละนะ ไกลมาก มีผีคนส่งเข้ามา เลยถามว่าในเมื่อขณะ ที่เทวดามากขนาดนี้เข้ามา ได้อย่างไร

ท่านบอก เขาบังคับมัน ถามว่า บังคับทำไม บอกว่า ให้มาทำลายพิธี การทำลายพิธีถามว่าทำอย่างไร บอกว่าเข้าคนใดคนหนึ่ง เป๊บป๊าบเข้ามาบางทีก็เสียใช่ไหม แต่เข้ามาไม่ได้ พอดีเทวดาชั้นจาตุมหาราชด้านทิศเหนือ พวกยักษ์ซิ เข้าทางสำคัญด้วย ท่านจับได้ แล้วก็ไม่ได้เอาเข้ามา อยู่ไกลๆ ถามว่าจับได้แล้วทำอย่างไร ท่านบอกก็แก้ ปล่อยซิครับเพราะว่า ผีพวกนี้ที่เข้ามามีสายสิญจน์ผูกเอว และผูกคอเป็นจุดโยง

นี่เขาบังคับว่าต้องเข้ามาจุดนี้ เขาใช้คาถาบังคับนะ ผีพวกนี้แกก็ไม่อยากจะมา พอแก้แล้วแกเลยสารภาพว่า เขาบังคับครับ ถ้าไม่มาเขาก็เฆี่ยนก็ตี มานี่ทราบแล้วว่า เข้าอย่างไรก็เข้าไม่ได้ พอประเดี๋ยวเขาก็จับมาอีก ๒ คน เป็น ๓ คนด้วยกัน ถามเทวดาชั้นจาตุมหาราช ทำอย่างไรต่อไปท่านเลยบอกว่า อุทิศส่วนกศลให้ซิครับ สงสารมันก็เลยอุทิศส่วนกุศลให้ พออุทิศส่วนกุศลให้แก ก็หน้าตา สดเช่นสวยมาก และก็มีผู้ชาย (๑ ใน ๓ คนนั้น)



คนหนึ่งบอกว่าประเดี๋ยวผมจะนำมาอีก ๓๐ ครับ ไม่ใช่มาเข้าใครนะ มาขอบุญ (หัวเราะ) และแกก็นำมาอีก ๓๐ เพราะว่าในเมื่อแกรับอุทิศส่วนกุศลแล้วแกก็เป็นเทวดา ในเมื่อเป็นเทวดา คาถาอาคมที่เขาบังคับเขาใช้ไม่ได้และสามารถนำผีเข้ามาได้ ดีไหม หรือจะมาให้เข้าคนนี้ เอาซะเดี๋ยวนี้ดีไหม

และก็ต่อไปจากนั้นก็มีพิธีกรรม แต่ว่ากระแสที่ท่านทำวันนี้ไม่เหมือนวันอื่น วันอื่นเป็นกระแสลมบางๆ ใช่ไหมเหมือนกับ กระแสลม แต่วันนี้เหมือนกับเป็นคลื่นหนาทึบมากท่านทำทั้งหมดนะทั้งของที่มีอยู่ของ ที่วางไว้เพื่อทำและของทุกคนที่ใส่คอมาและทุกคนด้วยนะ ทุกคนด้วยทีนี้ตอนท้ายสุด ตอนจะเลิกก็ถามถึงผล พอถามถึงผล

องค์ปัจจุบันท่านตอบ ถามว่าผลที่ทำวันนี้ส่วนใหญ่ มีอะไรบ้างครับ ท่านบอกว่า ด้านโชคก็จะให้ดูพระพุทธเจ้ามีนามในอิติปิโสว่า สุคโต เสด็จไปดีแล้ว ไปไหนก็มีโชคมีลาภท่านบอก ทุกคนหากว่า ตั้งตนอยู่ด้วยดีไม่ลืมท่าน คำว่าไม่ลืมก็หมายความว่าตอนเย็นหรือตอนเช้านี่พยายามบูชาพระก็นึกถึงพระ พุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ เทวากับพรหมทั้งหมด ท่านใช้หมดนะ

แล้วสวดอิติปิโส สวดอิติปิโสแล้วก็ขอพรท่าน ท่านบอกทุกคน จะมีโชคตาม ที่พระพุทธเจ้าท่านให้ก็จริง แต่ว่ากฎของกรรมบางอย่างอาจจะบีบบังคับอันนี้ต้องระวังให้ดีนะท่านบอกว่าคนที่บูชาพระพุทธเจ้านี่ จะไม่ตกอับ แต่กรรมบางประเภทมันก็บังคับได้...อย่างเรื่องของ "อนาถบิณฑิกเศรษฐี" เป็นต้น






คราวนี้เรามาฟังป้าน้อยกับจุไรคุยกันภายในวิหาร ๑๐๐ เมตรกันบ้าง... (เป็นการสนทนาระหว่างจุไรกับป้าน้อย) ทั้งสองคนป้าหลานนั่งพักอื่มน้ำหายเหนื่อย จุไรก็เริ่มต้นถามมาว่า

จุไร - คุณป้าค่ะ เวลานี้เรานั่งกันอยู่หน้าพระพุทธชินราช และพระพุทธชินราชองค์นี้ สวยงามมากพอสมควร อยากจะถามว่าช่างที่ไหนปั้น

ป้าน้อย - หลานช่างที่ปั้น และช่างที่ประดับ เขาเป็นช่างสองคน เป็นสามีภรรยากัน คือนายช่างประเสริฐ แก้วมณี สามีเป็นช่างปั้นและนางจำเนียร แก้วมณี เป็นช่างประดับ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งพระพุทธรูปก็ดี คือพระพุทธชินราชองค์นี้พร้อมทั้งแท่น แรงงานทั้งหมดตั้งแต่ปั้น และประดับ ตลอดจนปิดทองทั้งหมด นายช่างประเสริฐกับจำเนียรแก้วมณีสองสามีรภรรยานี้เขาถวายแรงงานทั้งหมด

จุไร - แรงงานของเขาเท่าไร

ป้าน้อย - แรงงนของเขาจริงๆ ราคามันเป็นหมื่น เขาไม่ได้บอกหลวงปู่(ในที่นี่หมายถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ) หลวงปู่ถามเขาแล้ว เขาบอกราคามันเป็นหมื่น ความจริงหลายหมื่น แต่เขาบอกว่า เขาไม่เอาค่าแรงงาน ทั้งนี้เพราะว่าเขาเป็นช่างปั้นวัดนี้ทั้งหมด

จุไร - คุณป้าเจ้าขา หนูอยากจะถามว่าพระพุทธรูปก็ดี ช่อฟ้า หน้าบันก็ดีของวัดนี้ทั้งหมด เป็นฝีมือของใคร ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของช่างประเสริฐเป็นช่างปั้น และการประดับประดาและการปิดทองเป็นฝีมือของ จำเนียร ซึ่งเป็นภรรยา คอยควบคุมงาน แต่ว่าบางส่วน อย่างเช่นอุโบสถ เฉพาะตัวช่อฟ้า หน้าบันนี้เป็นหน้าที่ของช่างเยี่ยม อำเภอโกรกพระ จังหวัดพระนครสวรรค์

จุไร - ฝีมือการปั้นของเขาทั้งหมด เรียกว่า ทั้งวัดที่เห็นมานี้รู้สึกว่า วิจิตรพิสดาร สวยสดงดงาม น่ารัก อยากจะทราบว่า ช่างปั้น ช่างประดับทั้งสองคนนี้จบอะไรมา

ป้าน้อย - เห็นหลงปู่ ท่านบอกว่า สองคนนี่เป็น ดุษฎีบัณฑิตประถม คำว่าบัณฑิต ท่านอธิบายว่า "ผู้รู้" เป็นหมายความว่าเป็นผู้รู้ขั้นประถม จบประถามปีที่ ๔ ทั้งสองคน และช่างก่อสร้างทั้งหมด คือ ช่างชิต แก้วแดง ช่างวิเชียร พัฒนพันธ์ แล้วก็ช่างพร หนูสำเภา ช่างพเยาว์ ทั้งหมดนี้จบ ป.๔ หมด

จุไร - เห็นคนที่เขามาดู เขาพูดว่า ช่างที่นี่ เห็นหลวงปู่บอกว่าจบ ป.๔ เขาไม่เชื่อเขาบอกช่างจบ ป.๔ ทำไม่ได้



ป้าน้อย - ฝีมือทุกอย่าง ช่างก่อสร้างก็ดี ช่างประดับก็ตาม ช่างปั้นก็ตามที่นี่ ป.๔ ทั้งหมด ป้าจึงเรียกว่า ดุษฎีบัณฑิตประถม คำว่าดุษฎี หมายถึงว่าเงียบ ไม่ต้องทำต่อไป จบบัณฑิต ก็หมายถึงรู้ ประถมก็คือประถม ก็มีความรู้จบประถมปีที่ ๔ ในระหว่างนั้น การเกณฑ์เข้าเรียน เกณฑ์แค่ ป.๔

จุไร - ที่พระบรมสารีริกธาตุ ที่เป็นเจดีย์ ใครปั้น

ป้าน้อย - เรื่องปั้นก็ช่างประเสริฐ ประดับก็เป็นช่างจำเนียร เหมือนกัน

จุไร - พระบรมสารีริกธาตุนี่ หลวงปู่ได้มาจากไหน

ป้าน้อย - เห็นหลวงปู่ ท่านบอกว่า ได้มาหลายทาง ส่วนหนึ่งได้มาจากการบูชา บูชาแล้วก็มาเอง ก็เยอะ และประการที่สอง บรรดาญาติโยมท่านให้มาก็มี และนอกจากนั้นส่วนใหญ่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต้องลงทุนกันมากคือ คณะชาวพิษณุโลกมี คุณลุงสันต์ ภู่กร กับ คุณป้าเกศริน ภู่กร



ทั้งสองคนนี้ได้นำคณะของท่านไปขอซื้อจากคนที่เขาขุด เป็นพระบรมสารีริกธาตุที่เขาฝังไว้ และก็วัตถุบูชามีพระพุทธรูป มีเทวรูปเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายนี้ลงทุนมาก แค่ตลับใส่พระบรมสารีริกธาตุซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นไม้จันทร์เก่าแล้ว เขาเอาตั้ง ๒๐,๐๐๐ บาท ท่านก็สู้ ทั้งนี้เพราะหวังเป็นพุทธบูชา

จุไร - ก็ถามว่า เจดีย์ทอง ที่หลวงปู่มาตั้งทั้งสองข้างเป็นทองจริงๆ หรือ

ป้าน้อย - เป็นทองจริงๆ เอามาตั้งแบบนี้ไม่ได้ ต้องฝัง และที่ตั้งนี้เป็นทองเหมือนกัน แต่เป็นทองชุบ หมายความว่า ชุบหนาแบบกระไหล่ทั้งสององค์แต่ที่เป็นทองแท้ๆ อยู่ข้างล่าง

จุไร - พระบรมสารีริกธาตุเท่าที่เห็นมีแค่นี้หรือ

ป้าน้อย - มีอีกเยอะ ใส่เหยือกใหญ่ วันนั้นวันบรรจุเห็นเทกันขนาดหนัก เทใส่เหยือกใช้เวลานาน พระบรมสารีริกธาตุ ถ้าตวงเป็นลิตรก็เกิน ๑๐ ลิตร



จุไร - ถ้าอย่างนั้นหลวงปู่ได้มาจากไหน

ป้าน้อย - ก็เป็นธรรมดาที่ป้าบอกแล้วว่าคนอื่นให้มาบ้าง ท่านบูชาเองบ้าง

จุไร - ที่หลวงปู่บูชาท่านเอามาให้บูชาที่นี่หรือป่าวที่ได้มา

ป้าน้อย - วันนั้นท่านบรรจุหมดมีเท่าไหร่ท่านบรรจุหมด แต่ก็ปรากฏว่า หลังจากบรรจุแล้วก็มีพระบรมสารีริกธาตุมาอีก

จุไร - เห็นคนเขาพูดกันว่าหลวงปู่ให้คนบรรจุเงินบ้าง ทองบ้าง สตางค์บ้างทองเหลืองบ้าง ทองแดง ตามอัธยาศัยสร้อยถนิมพิมพา ส่วนใหญ่ลงไปในฐานที่ตั้งพระบรมสารีริกธาตุ อย่างนี้ขโมยจะมาเอาไปได้ไหม



ป้าน้อย - ทั้งนี้ก็เป็น เรื่องความสามรถของขโมยเพราะการใส่ไปใต้แท่นพระบรมสารีริกธาตุ มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ความจริงท่านทำท่อฝังลึกลงใต้ดินเป็นหลุมใหญ่ใต้วิหาร ทั้งนี้กลบไว้ก็ดี แม้แต่ช่างก่อสร้างก็ยังไม่ทราบ เวลาทำจริงๆ ช่างทำท่อบรรจุกับช่างก่อสร้างคนละคน ช่างที่ทำท่อบรรจุนี่เป็นช่างภายใน ถือเป็นความลับ ถ้าใส่ไปแล้วหล่นไปปุ๊บ ก็จะไหลเลื่อนไปอยู่ใต้ดินลึกเป็นเมตร และก็เป็นทางเลี้ยวไป ไม่ใช่ตรง อย่างนี้ก็ถือว่ายากหน่อย จุไรฟังแล้วก็กราบพระพุทธชินราช กราบพระบรมสารีริกธาตุตั้งใจบูชา

จุไรเห็นรูปปั้นหลวงปู่ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ภายในวิหาร ๑๐๐ เมตร เป็นรูปหล่อ เธอก็ถามว่า

จุไร - เอาช่างที่ไหนมาปั้นหุ่น

ป้าน้อย - เป็นฝีมือช่างประเสริฐ และช่างจำเนียร

จุไร - เวลาเขาหล่อ มีพิธีกรรมในการหล่อ หลวงปู่ทำอย่างไร



ป้าน้อย - มีพิธีกรรมพิเศษ ที่ท่านเรียนมาจากหลวงพ่อปาน ป้าเองก็อธิบายไม่ได้ แต่มีสิ่งแปลกอยู่อย่างหนึ่ง วันนั้นปรากฏว่า เวลาเททองลมแรงมาก ช่างเททองไม่ค่อยจะลงต้องใช้เวลานาน และช่างประเสริฐก็ปรารภว่า การเททองมีลมแรงแบบนี้ทองจะขาดตอนกัน จะไม่ประสนกันสนิท อย่างไรๆ ก็ตามรูปนี้ต้องเสีย แล้วก็ต้องแต่งเติมกันมาก

ฉะนั้น เวลาช่างทุบหุ่นออกดูจึงไม่ยอมทุบกลางวัน ทุบตอนกลางคืนตอนดึก ซึ่งคนไปหมดแล้ว เมื่อหุ่นเย็นดีแล้ว ทองเย็นดีแล้วก็พยายามทุบหุ่น ตอนเช้าช่างประเสริฐเป็นผู้รับผิดชอบ ไปดูกลับมายิ้ม เช้ามืดนเธอว่าต้องมาดูเช้ามืด ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าเสียมากก็จะเข้าลังปกปิดทันที แล้วไปทำซ่อมกันทีหลัง เมื่อไปดูแล้ว ปรากฏว่า ทุกคนทุกช่างอัศจรรย์หมด



(ภาพจาก : http://uthaiwanth.multiply.com/journal/item/12/12)

ซึ่งตอนเช้า ช่างมายืนยันกับหลวงปู่ ป้าก็นั่งอยู่ที่นั่น บอกว่าการเทแบบนี้ จะเรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง ไม่เคยมีปรากฏการณ์มาก่อนถ้าลมแรงแบบนี้ ทุกรายทั้งหมด น้ำทองที่ไหลไปจะต้องขาดตอนไหลลงไปก่อนจะแข็งเร็ว ที่ไหลลงไปทีหลังจะประสานกันไม่ทัน อย่างนี้ต้องซ่อมกันหนักแต่ภาพนี้เกือบไม่ต้องซ่อม เกือบไม่ต้องแต่ง เป็นอันว่าจดซ่อมจริงๆ ไม่มีเลย เรียบร้อย แต่ว่าการแต่งต้องแต่งให้เรียบร้อยยิ่งขึ้นไปกว่านั้น เรียบมากจริงๆ จุไรฟังแล้วก็เกิดความเลื่อมใส กราบ ดูถึงว่าความอัศจรรย์

ป้าน้อย - ก็บอกว่าเรื่องนี้ป้าไม่ถือว่า เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทั้งนี้เพราะว่าการหล่อพระ ทุกช่างก็มีครูบาอาจารย์ มีวิธีกรรมอาจจะเหมือนๆกันทุกช่างก็ได้ หลังจากนั้น จุไรก็หันมาทางขวามือ ไปดูโลงศพ แล้วเธอก็ถามว่า

จุไร - โลงศพของใคร เครื่องตั้งศพใคร ทำไมถึงมาตั้งในวิหารแหม...

ป้าน้อย - ความจริงโลงศพอันเป็นที่สักการะบูชา นี่เป็นโลงของหลวงปู่ท่าน หลวงปู่ท่านเตรียมไว้ เพื่อเวลาท่านตายจริงๆ จะได้ไม่วุ่นวายเรื่องโลงศพและก็ประการที่สอง ท่านบอกว่า "เรื่องที่ตั้งของศพ เมื่อสมัยหลวงพ่อปานมรณภาพ ก็ยุ่งมาทีหนึ่งแล้วต่างคนต่างทะเลาะกัน เถียงกันว่าคนนั้นจะตั้งที่นั่น คนนี้จะตั้งที่นี่

ในที่สุดก็ตั้งในกุฏิ กว่าจะปรึกษากันลงตัวกันได้ ก็สามวัน เสียเวลางานต่างๆ ทำให้สมองมึน ดีไม่ดีคนก็มึนตึงไปด้วย" ก็รวมความว่าหลวงปู่เลยตัดสินใจว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ฉันสั่งตั้งเสียเอง ถ้าเวลาตายลงไป ตั้งตรงนี้ก็แล้วกัน ก็หมดเรื่องกันไป (จบการสนทนาระหว่างป้าน้อยกับจุไร)






เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มรณภาพ ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ ท่านเจ้าอาวาส ก็ได้ มอบหมายให้ พระสามารถ สร้างบุษบก เพื่อประดิษฐานสังขาร ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระสามารถก็ได้รีบเร่งสร้างเพื่อให้ทันเมื่อครบ ๑๐๐ วัน แล้วจะทำการย้ายสังขาร ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งตั้งบำเพ็ญกุศล อยู่ที่ ศาลา ๑๒ ไร่ มาประดิษฐาน ที่วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร

พระสามารถได้ใช้เวลาประมาณ ๘๐ วัน ก็แล้วเสร็จได้ยกบุษบกขึ้นมาไว้ในวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแล้วสร้าง เป็น ห้องกระจก เพื่อประดิษฐานสังขาร ของพระเดชพระ คุณหลวงพ่อหลังจากนั้นก็ได้สร้าง ฐานโลงแก้ว จากเดิมเป็นโลงแก้วฝังมุข ได้ใช้เวลาสร้าง ๒ ปีเศษ ใช้งบประมาณ ๑๑ ล้านเศษ ให้ช่างจากจังหวัดสุโขทัยถักผ้าห่มทองคำเพื่อคลุมสังขาร พระเดชพระคุณหลวงพ่อใช้งบประ มาณ ๒ ล้านเศษ

วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ เวลา ๑๘.๐๐ น. เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดเบญจมบพิตร เป็นองค์แสดง พระธรรมเทศนา งาน บำเพ็ญ กุศล ครบ ๑๐๐ วัน ถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง เป็นเจ้าภาพทำบุญครบ ๑๐๐ วัน

วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ เวลา ๑๒.๐๐ น. คณะศิษย์ได้นำศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เคลื่อนขบวนจากศาลา ๑๒ ไร่ ไปประดิษฐานที่วิหาร ๑๐๐ เมตร โดยมีญาติโยมพุทธบริษัทมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก



การสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ โดยการดำเนินงาน ของท่านเจ้าอาวาส พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ ซึ่งได้รับ ความร่วม มือได้รับการ สนับสนุน จากพระสงฆ์ของวัดท่าซุงตลอดจนญาติโยมที่เป็นลูกศิษย์ของพระเดช พระคุณหลวงพ่อก็ เพื่อทดแทน พระคุณอันยิ่งใหญ่ ของท่านอันจะหาสิ่งใดๆ มาเปรียบได้ และปฏิบัติ ตามคำสั่งสอนของพระเดชพระคุณของหลวงพ่อ คือ

สร้างสิ่งเหล่านี้ให้สวยงาม เพื่อให้พุทธบริษัททั้งหลาย ได้ เห็นภาพสวยงามยิ่ง จิตก็จำภาพอัน เป็นกุศลนี้ หากท่านก่อนตาย นึกถึงภาพเหล่านี้ได้ เพราะภาพ เหล่านี้ ล้วนเป็นธรรม แห่งองค์สมเด็จ สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างน้อย ท่านก็สามารถไปสวรรค์ได้หากกำลังใจท่านเข้มก็ไปพรหมได้ และหากกำลังใจท่านเข้มแข็งไปอีก ก็สามารถไปพระนิพพานได้






นอกจากนี้ในบริเวณวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ยังมีสถานที่อื่นอีก เช่น ร้านค้าสวัสดิการวัดท่าซุง (มินิมาร์ต) ร้านอาหารลูกหลวงพ่อ, ศาลามิตรศรัทธา. และร้าน Coffee House โดยมีพระชำระหนี้สงฆ์ประดิษฐานอยู่ด้านบน มีกำแพงล้อมรอบทั้งหมด พร้อมทั้งห้องน้ำอีกหลายสิบห้อง ลานจอดรถก็กว้างขวาง เพื่อให้สะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั้งหลายด้วย



ข้อมูลดีๆจากวัดท่าซุงที่ผมรัก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=437


วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

วิธีการเดินทาง

ขับรถส่วนตัว ดู แผนที่ไปวัดท่าซุง

(1) จากกรุงเทพ ขับเข้ามาในตัวเมืองอุทัย และขับออกจากเมืองไปตามทางหลวง หมายเลข 3265 มุ่งตรงไปทางแพข้ามฟากอำเภอมโนรมย์ของชัยนาท ประมาณ 12 กิโลเมตร ดูแผนที่ ตัวเมืองอุทัย
(2) จากกรุงเทพ ขับมาตาม ทางหลวงหมายเลข 32 จนถึงส่วนของจังหวัดชัยนาท ให้ขับตรงมาจนถึงจุดตัดกับถนนหมายเลข 3212 ให้เลี้ยวซ้ายเพื้อไป อ.มโนรมย์ (ให้ดูแผนที่ ถนนจังหวัดชัยนาท) สุดถนน 3212 เป็นแม่น้ำสะแกกรัง ให้เอารถขึ้นแพข้ามฟากไปฝั่งอุทัยธานี (ไม่ทราบว่ากี่บาทต่อรถหนึ่งคัน) และขับต่อขึ้นไปตามถนน 3265 ไม่กี่นาทีก็จะถึงบริเวณวัด

การปฏิบัติธรรมที่วัด

ตามปกติ ถ้าเป็นช่วงวันธรรมดา ที่วัดไม่ได้มีจัด งานสำคัญ ท่านสามารถมาพักที่วัดได้โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
- พักครั้งละไม่เกิน 7 วัน
- การมาพักต้องติอต่อพระเจ้าหน้าที่ ที่ศาลานวราช(อยู่บริเวณโบสถ์ ติดกับหอนาฬิกา)
- ต้องมีบัตรประชาชนหรือใบขับขี่เป็นหลักฐาน
- หากเป็นพระต้องมีใบรับรองจากเจ้าอาวาสที่ท่านสังกัดมาแสดงโดยทางวัด
- พระเจ้าหน้าที่จะขอเก็บไว้ 1 บัตรหรือใบต่อ 1 ห้องพักเพื่อแลกกับกุญแจ (และไว้มาแลกคืนตอนกลับ)
- ต้องมาติดต่อพระเจ้าหน้าที่ (ไม่ว่าจะขอกุญแจหรือคืนกุญแจ) ต้องติดต่อในช่วงต่อไปนี้เท่านั้นคือ
ช่วงเช้า 9.00 น.ถึง 11.00 น. ช่วงบ่าย 13.00 น.ถึง 16.00 น
(หากติดต่อนอกเวลา จะไม่อนุญาตให้พักในวัด)
- ที่พักมีพักเป็นห้องๆ หลายจุดในวัด แยกชายหญิง
- เตรียมเสื้อผ้าที่สุภาพมาให้เพียงพอ
- ทางวัดมีห้องน้ำไว้บริการเพียงพอ
- เรื่องอาหารการกินผู้มาปฏิบัติต้องรับผิดชอบตนเอง โดยมีร้านอาหารตั้งอยู่หลายจุดรอบๆ วัด
- ภายในวัด มีร้านสหกรณ์ของวัดจำหน่ายของใช้ของจำเป็นทุกอย่าง
- มีการทำวัตรเช้าที่ศาลานวราช ทำวัตรเย็นที่วิหาร 100 เมตร
- ในวัดมีมีรถบัสที่ดัดแปลงเป็นรถนั้ง 2 แถวหรือไม่ก็มีรถสามล้อเครื่องให้ใช้บริการตามสะดวก
- ห้ามดื่มเหล้าและเล่นการพนันรวมทั้งอบายมุขทุกอย่าง
-ท่านต้องเคารพในสถานที่และทำตามระเบียบของวัดท่าซุงอย่างเคร่งครัด

การเจริญกรรมฐานและการฝึกมโนมยิทธิ ท่านสามารถฝึกกรรมฐานทั้งแบบมโนมยิทธิและกรรมฐานแบบปกติได้ทุกวันในเวลา ๑๒.๓๐ - ๑๔.๐๐ น. ที่มหาวิหารแก้ว 100 เมตร

อยากทำบุญกับวัด

หากท่านไม่สะดวกไปวัดท่าซุง หรือบ้านสายลม (ที่กรุงเทพฯ) ท่านสามารถร่วมทำบุญโดยการส่งธนานัติหรือตั๋วแลกเงิน สั่งจ่าย ปท.อุทัยธานี ในนาม พระครูปลัดอนันต์ พทฺญาโณ (ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุง) วัดท่าซุง อำเภอเมือง อุทัยธานี 61000 พร้อมระบุว่าประสงค์อยากทำบุญรายการอะไร

เที่ยววัดท่าซุง
มหาวิหารแก้ว 100 เมตร เป็นตึก ๒ ชั้น หลังคาเป็นจตุรมุข ๓ ยอด ด้านนอกด้านใน ปิดกระจกจากชั้น ๒ ถึงยอดหลังคา ภายในปิดกระจกเสาทุกต้น ข้างฝาและเพดานทั้งวิหาร มีพระประธานแบบทรงพระพุทธชินราช มี รูปปั้นพระอรหันต์ ๗ องค์ มีรูปหล่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อลักษณะยืนถือไม้เท้า เพดานวิหารมีช่อไฟระย้าทั้งช่อใหญ่ ่และช่อเล็กรวมทั้งหมด ๑๑๙ ช่อ และมีบุษบกตั้งศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ตั้งอยู่ในมหาวิหารนี้ด้วย
เวลาเปิดมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร คือ ระหว่าง 9:00 - 11: 45 น. และ 14:00 - 16:00 น. เท่านั้น โดยช่วง 11.45- 14.00 น.จะอนุญาตเฉพาะคนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐานเท่านั้น
พระวิหารสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะผสมทองคำ ภายในบรรจุ ุพระบรมสารีริกธาตุ มณฑปทั้งหมดบุแก้วทั้งข้างนอกข้างในสวยงามมาก
เวลาเปิด เช้า 09.00 - 10.30 น. และบ่าย 13.00 - 16.00 น.อย่าลืมวางแผนเรื่องเวลาด้วย
ปราสาททองคำ เวลาเปิด 08.00 - 16.00 น.
วิหารสมเด็จพระศรีอรียเมตไตรย์ เวลาเปิด เช้า 09.00 - 10.30 น. และบ่าย 13.00 - 16.00 น.


วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

วิธีการเดินทาง

ขับรถส่วนตัว ดู แผนที่ไปวัดท่าซุง
(1) จากกรุงเทพ ขับเข้ามาในตัวเมืองอุทัย และขับออกจากเมืองไปตามทางหลวง หมายเลข 3265 มุ่งตรงไปทางแพข้ามฟากอำเภอมโนรมย์ของชัยนาท ประมาณ 12 กิโลเมตร ดูแผนที่ ตัวเมืองอุทัย
(2) จากกรุงเทพ ขับมาตาม ทางหลวงหมายเลข 32 จนถึงส่วนของจังหวัดชัยนาท ให้ขับตรงมาจนถึงจุดตัดกับถนนหมายเลข 3212 ให้เลี้ยวซ้ายเพื้อไป อ.มโนรมย์ (ให้ดูแผนที่ ถนนจังหวัดชัยนาท) สุดถนน 3212 เป็นแม่น้ำสะแกกรัง ให้เอารถขึ้นแพข้ามฟากไปฝั่งอุทัยธานี (ไม่ทราบว่ากี่บาทต่อรถหนึ่งคัน) และขับต่อขึ้นไปตามถนน 3265 ไม่กี่นาทีก็จะถึงบริเวณวัด


การปฏิบัติธรรมที่วัด

ตามปกติ ถ้าเป็นช่วงวันธรรมดา ที่วัดไม่ได้มีจัด งานสำคัญ ท่านสามารถมาพักที่วัดได้โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
- พักครั้งละไม่เกิน 7 วัน
- การมาพักต้องติอต่อพระเจ้าหน้าที่ ที่ศาลานวราช(อยู่บริเวณโบสถ์ ติดกับหอนาฬิกา)
- ต้องมีบัตรประชาชนหรือใบขับขี่เป็นหลักฐาน
- หากเป็นพระต้องมีใบรับรองจากเจ้าอาวาสที่ท่านสังกัดมาแสดงโดยทางวัด
- พระเจ้าหน้าที่จะขอเก็บไว้ 1 บัตรหรือใบต่อ 1 ห้องพักเพื่อแลกกับกุญแจ (และไว้มาแลกคืนตอนกลับ)
- ต้องมาติดต่อพระเจ้าหน้าที่ (ไม่ว่าจะขอกุญแจหรือคืนกุญแจ) ต้องติดต่อในช่วงต่อไปนี้เท่านั้นคือ
ช่วงเช้า 9.00 น.ถึง 11.00 น. ช่วงบ่าย 13.00 น.ถึง 16.00 น
(หากติดต่อนอกเวลา จะไม่อนุญาตให้พักในวัด)
- ที่พักมีพักเป็นห้องๆ หลายจุดในวัด แยกชายหญิง
- เตรียมเสื้อผ้าที่สุภาพมาให้เพียงพอ
- ทางวัดมีห้องน้ำไว้บริการเพียงพอ
- เรื่องอาหารการกินผู้มาปฏิบัติต้องรับผิดชอบตนเอง โดยมีร้านอาหารตั้งอยู่หลายจุดรอบๆ วัด
- ภายในวัด มีร้านสหกรณ์ของวัดจำหน่ายของใช้ของจำเป็นทุกอย่าง
- มีการทำวัตรเช้าที่ศาลานวราช ทำวัตรเย็นที่วิหาร 100 เมตร
- ในวัดมีมีรถบัสที่ดัดแปลงเป็นรถนั้ง 2 แถวหรือไม่ก็มีรถสามล้อเครื่องให้ใช้บริการตามสะดวก
- ห้ามดื่มเหล้าและเล่นการพนันรวมทั้งอบายมุขทุกอย่าง
-ท่านต้องเคารพในสถานที่และทำตามระเบียบของวัดท่าซุงอย่างเคร่งครัด

การเจริญกรรมฐานและการฝึกมโนมยิทธิ ท่านสามารถฝึกกรรมฐานทั้งแบบมโนมยิทธิและกรรมฐานแบบปกติได้ทุกวันในเวลา ๑๒.๓๐ - ๑๔.๐๐ น. ที่มหาวิหารแก้ว 100 เมตร

อยากทำบุญกับวัด

หากท่านไม่สะดวกไปวัดท่าซุง หรือบ้านสายลม (ที่กรุงเทพฯ) ท่านสามารถร่วมทำบุญโดยการส่งธนานัติหรือตั๋วแลกเงิน สั่งจ่าย ปท.อุทัยธานี ในนาม พระครูปลัดอนันต์ พทฺญาโณ (ท่านเจ้าอาวาสวัดท่าซุง) วัดท่าซุง อำเภอเมือง อุทัยธานี 61000 พร้อมระบุว่าประสงค์อยากทำบุญรายการอะไร

เที่ยววัดท่าซุง

มหาวิหารแก้ว 100 เมตร เป็นตึก ๒ ชั้น หลังคาเป็นจตุรมุข ๓ ยอด ด้านนอกด้านใน ปิดกระจกจากชั้น ๒ ถึงยอดหลังคา ภายในปิดกระจกเสาทุกต้น ข้างฝาและเพดานทั้งวิหาร มีพระประธานแบบทรงพระพุทธชินราช มี รูปปั้นพระอรหันต์ ๗ องค์ มีรูปหล่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อลักษณะยืนถือไม้เท้า เพดานวิหารมีช่อไฟระย้าทั้งช่อใหญ่ ่และช่อเล็กรวมทั้งหมด ๑๑๙ ช่อ และมีบุษบกตั้งศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ตั้งอยู่ในมหาวิหารนี้ด้วย







บ้านสายลม กรุงเทพฯ

บ้านสายลม เจ้าของบ้านคือท่านเจ้ากรมเสริม สุขสวัสดิ์ เป็นสถานที่ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อจะลงมารับสังฆทานที่บ้านสายลมทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน และจะมีการฝึกมโนมยิทธิในวันเสาร์อาทิตย์ทุกต้นเดือนด้วย ปัจจุบันพระครูปลัดอนันต์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดท่าซุงจึงเดินทางที่บ้านสายลมเหมือนสมัยหลวงพ่อยัง มีชีวิตอยู่ทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือนเช่นเดิม ปัจจุบัน บ้านสายลมได้สร้างตึกกรรมฐานใหม่ 3 ชั้น โดย
-ชั้น 1 จำหน่ายวัตถุมงคล หนังสือ เทป วีซีดี นิตยสารธัมมวิโมกข์ (เปิดทุกวันเว้นวันอาทิตย์ 9.00-17.00 น. บ้านสายลมหลังเก่าไม่มีจำหน่ายวัตถุมงคลแล้ว กรุณาไปที่ตึกกรรมฐานใหม่ที่เดียวในวันธรรมดา)
-ชั้น 2 เป็นห้องฝึกญาน 8
-ชั้น 3 เป็นห้องไว้ฝึกมโนมยิทธิสำหรับผู้มาฝึกใหม่ จำนวนหลายห้อง

- วันที่ ๑ ฉันเช้าแล้ว เดินทางไปบ้าน พล.อ.อ. อาทร โรจนวิภาต ที่ดอนเมือง เพื่อรับสังฆทานและฉันเพล เมื่อฉันเพลเสร็จแล้ว เดินทางเข้าบ้านสายลม ... เวลา ๑๙.๐๐ น. ลงรับแขกและรับสังฆทาน เวลา ๒๑.๐๐ น. ขึ้นพัก

- วันที่ ๒, ๓, ๔ รับสังฆทานตั้งแต่เวลา ๙.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น. และเจริญพระกรรมฐาน ตั้งแต่เวลา ๑๙.๐๐ น. - ๒๐.๐๐ น. เสร็จแล้วรับสังฆทานต่อและสนทนาธรรมจนถึงเวลา ๒๑.๐๐ น.

- วันที่ ๒, ๓ ฝึกมโนมยิทธิตั้งแต่เวลา ๑๒.๓๐ น. - ๑๕.๐๐ น.

- วันที่ ๕ เดินทางกลับวัดท่าซุง

ทำบุญเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

- วันที่ ๕ เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร

บวชพระถือธุดงค์และบวชชีกรรมบถ ๑๐

- วันที่ ๗-๑๕ บวชพระถือธุดงค์ และบวชชีกรรมบถ ๑๐ รวม ๙ วัน

- วันที่ ๙ - ๑๐ ฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง

- วันที่ ๑๕ นำพระบวชถือธุดงค์และบวชชีกรรมบถ ๑๐ กราบขอขมาสถานที่สำคัญภายในวัด ๑๘ แห่ง และทำพิธีลาสิกขา ที่มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร


ตึกกรรมฐานใหม่

วิธีการเดินทาง+แผนที่

    ดูแผนที่บ้านสายลม ที่อยู่ตามไปรษณีย์ : เลขที่ 9 ซอยสายลม 1 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
ขับรถ วิ่งถนนพหลโยธิน เข้าซอยสายลม (พหลฯ ซ.8) ตรงเข้ามาเมื่อตรงผ่านกรมไปรษณีย์โทรเลขมาแล้ว ถนนจะบังคับเลี้ยวขวา แล้วให้ตรงมาเรื่อยๆ (ไม่ต้องเลี้ยวซ้ายตามทางหลักอีก) ตรงเข้ามาอีกเล็กน้อยจะมีแยกซ้ายมือ ให้เลี้ยวเข้าซ้ายนั้นแล้วหาที่จอดรถ (อย่าจอดรถขวางประตูบ้านคนอื่นหรือกีดขวางการจราจร) ซึ่งบ้านสายลมจะอยู่ห่างจากแยกทางซ้ายเพียงประมาณ 50 เมตร จะเห็นอาคารกรรมฐานใหญ่ชัดเจน (หมายเหตุ. มีเส้นทางอื่นๆ ก็เข้ามาได้ เช่นเข้าจาก ถ.วิภาวดีรังสิต)
    หรือนั่งรถเมล์ สาย 8, 26, 29, 34, 39, 59, 77 ปอ. 3, ปอ.9, ปอ.10, ปอ. 29 และ ปอ.77 ลงซอยพหลโยธิน ซ.8 (ซอยสายลม 1) แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างบอกว่า มาบ้านหลวงพ่อ(บ้านสายลม บ้านเจ้ากรมเสริม ) คิดราคา 5-10 บาท หรือเดินเข้ามาเองก็ได้ประมาณ 10 นาที
เชิญดู รูปภาพจากปากซอยสายลมถึงบ้านสายลม
รถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานี อารีย์ แล้วลงฝั่งตึก IBM แล้วเดินมาปากซอยพหลโยธิน ซ.8 (ซอยสายลม 1)

02-272-6759 เป็นระบบตอบอัตโนมัติแจ้งกำหนดการของคณะพระครูปลัดฯ ที่จะเดินทางมาบ้านสายลมครั้งต่อไป
การรับสังฆทาน พระครูปลัดอนันต์ จะมาพักที่บ้านสายลมของเสาร์อาทิตย์แรกของแต่ละเดือน
(ดูวันรับสังฆทาน ณ บ้านสายลม จากกำหนดการวัดท่าซุง)
กำหนดการรับสังฆทานของบ้านสายลม คือ
วันเสาร์-อาทิตย์ 9.00-11.00,12.00-15.30,20.00-21.00
วันจันทร์ 10.00-11.00,12.00-15.30,20.00-21.00
การฝึกมโนมยิทธิ เวลาฝึก 12.00 - 15.00 น. ของทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน (ดูวันฝึกจากกำหนดการวัดท่าซุง)

การเตรียมตัว

ท่านที่จะมาฝึก ควรจะมาถึงที่บ้านสายลมอย่างน้อยตั้งแต่ 11 น. เพื่อทานอาหาร ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เมื่อพร้อมให้ไปที่ตึกกรรมฐานใหม่ โดยตรงทางขึ้นบันไดให้หยิบดอกไม้ธูปเทียนบูชาครู ใส่เงินเหรียญบูชาครู สลึงนึงขึ้นไป แล้วแต่ศรัทธาของท่าน และเดินขึ้นไปชั้นสาม จะมีครูผู้สอนคอยจัดกลุ่มให้นั่งเป็นวงๆ ตามที่ครูเห็นเหมาะสม จะมีแบ่งวงชายและหญิง นั่งทำใจให้สงบ หรือซ้อมภาวนา นะมะพะธะ ไปสบายๆ ลืมเรื่องวุ่นวายปัญหาส่วนตัวไปซักชั่วโมง รอครูผู้สอนให้คำแนะนำและอธิบายขั้นตอนต่างๆ อย่ามาสายเกิน 12.00 น. เพราะจะไม่อนุญาตให้เข้ามาฝึก ประตูห้องฝึกจะล็อค

  ข้อมูลดีๆจากวัดท่าซุงที่ผมรัก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=437

พระวิหารสมเด็จองค์ปฐม

  

พุทธประวัติสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ ๑ (พระพุทธเจ้าองค์แรก)

ประวัติสมเด็จองค์ปฐม

" ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ 1 เรียกว่า “องค์ปฐม” ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือเมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 ตอนนั้นอาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้วและ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยางเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางที่อาจเป็นอุปทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆที่หลังคาต่ำๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้างๆ ท่านบอกว่า “คุณ…..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา” อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า “ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า….ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูด ตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น” ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางที่คิดว่าวันนี้ จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆกัน "
หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่1” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะ ชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู" อย่างแท้จริง

ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัย ประมาณ 8 หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปีหลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่นปี จึงได้ ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง

(จาก ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม)
คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม (1)

" ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมดจะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสียอย่าเพลิดเพลินเกินไปอย่ามีความสุขเกินไปและมันจะทุกข์ ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใดความป่วยไม่มีความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญ วาสนาบารมี ถ้าหมดบุญ วาสนาบารมี ก็ต้องจุติคือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมดที่นั่ง อยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่าน ยังมีบาปติด ตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "

(พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ใน หนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเองเวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์ สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

" ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดจงอย่าลืมว่า ทุกท่านมีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรก ไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลายจะต้อง พุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรม คือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคน ก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็นอันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่นนิพพาน "

(ท่านยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดานางฟ้ากับ พรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)

" ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียวและการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมี ความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงเทวดานางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความว่าจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณา ความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลาย ควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม "

(พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)

" ฤาษี เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "

(แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)

" ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็น เทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี มีสภาพไม่เที่ยงจะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิด เป็นมนุษย์ ท่านทั้งหลาย จงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์ เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายในแต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมา ทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียวคือเงิน ถ้าไม่มีเงิน ก็ ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน "

(ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)

" จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุดและจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับพรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดา นางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไปและมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้นและบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่าขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ ไม่น่าเกิด ดินแดนไหน ที่มีความสุข ไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์และก็ดูเทวดา นางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่น ทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดา เคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหม มาแล้วแต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่าดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด... "

(เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ พระองค์ก็จบ)

(คัดย่อจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน)

--------------------------------------------------------------------------------

คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม (2)

" เวลาที่พระสงฆ์จะสอนพุทธศาสนิกชนควรสอนง่าย ๆ แบบนี้

1.จัด สถานที่ เอาพระพุทธรูป หรือ ถ้าวัดมีพระประธานก็ประดับเครื่องบูชาและไฟฟ้าให้สวยงาม เพื่อให้ประชาชนประทับใจจำภาพพระพุทธรูปได้ง่าย เป็นอารมณ์พุทธานุสสติกรรมฐาน

2. ทำพิธีบวงสรวง อัญเชิญพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ให้หมด เทพเทวดาทั้งหมดมาเป็นประธาน

3. อธิบายให้พวกชาวพุทธคิดตามความเป็นจริง เป็นวิปัสสนาญาณว่าง่าย ๆ อย่างนี้ ว่า ร่างกายมีความแก่ ความเจ็บ ความหิว ความไม่สบาย ความตายเข้ามาหาตลอดเวลา มีความสกปรกความเหม็นน่ารังเกียจ ตั้งแต่หัวถึงเท้าและร่างกายก็ไม่ใช่ของจิตเรา จิตเรานี้มาอาศัยกายซึ่งเป็นของสมมติเพียงชั่วคราว ดังนั้นจิตก็ไม่ใช่ของร่างกาย จิตเป็นของจริง กายเป็นของปลอม มีดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นส่วนประกอบ มีความคิด ความจำ ระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีเวทนาอารมณ์สุข ๆ ทุกข์เป็นของกาย สูญหายสลายไปพร้อมกับกาย จะเหลือแต่จิตเท่านั้น

4. ทำจิตให้เกาะพระนิพพานตั้งใจว่า ตายแล้วเราจะไปพระนิพพานประมาณ 3 นาที ใจของพุทธศาสนิกชนจะเกาะติดนิพพานอย่างไม่รู้ตัว

5. ถ้าจิตระลึกถึงพระนิพพาน ระลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระชินศรีศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่า ร่างกายตายแน่นอนทุกวันอย่างนี้ พอถึงเวลาตายจริง ๆ จิตก็จะไปอยู่ตามที่จิตตั้งใจระลึกถึงด้วยความเคารพทุกวัน ทำแบบนี้ทุกคนก็ไปนิพพานได้ง่าย ๆ ไม่ต้องไปบูชาพระนอก ทำจิตใจให้สะอาดเป็นพระในแบบนี้ดีกว่า เป็นการพึ่งตนเองดีที่สุด ก่อนตายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาให้เห็น พระองค์ทุกคน ถ้าระลึกถึงพระองค์ท่านด้วยใจจริง

การฝึกกรรมฐานแบบมโนมยิทธิให้ผู้ อื่นนั้น การช่วยสอนคนอื่นเป็นบุญบารมีสูง เป็นธรรมทาน ครูผู้สอนจะต้องรู้วิชาที่จะสอนเขาจริง ๆ ให้ฝึกตัวเองกำหนดจิตไปเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลาให้สติ สมาธิ ปัญญาทรงตัว รวบรวมกำลังใจ ดูพรหมวิหาร 4 ของเราว่ามีเมตตา กรุณา จริงใจหรือไม่ หรืออยากให้เขาสักการะ สอนแล้วเขายังไม่ได้ เสียใจหรือไม่ สอนแล้วศิษย์เก่งกว่าครู เราอิจฉาหรือไม่ได้วางใจเป็นอุเบกขา เป็นอารมณ์สมาธิ เป็นกำลัง ญาณที่จะทำให้เราได้รู้ ได้เห็น ได้รับทราบจากจิตจริงแท้

ขอให้สังวรกันว่า เรายังเรียนรู้เรื่องนี้น้อยมาก อย่าไปวิจารณ์คนนั้นใช่ ไม่ใช่ จงทำไปตามอาจารย์ท่านสอนเป็นวิธีลัดที่จะพิสูจน์ให้คนได้รู้เห็นสภาพของ ทิพย์ที่เป็นจริง

จำไว้ประการหนึ่ง ถ้าเหตุที่พึงเกิดกับตัวแล้วยังไม่เชื่อมั่น แคลงใจในมโนมยิทธินี้ เป็นผู้สอนไปแล้วไร้ประโยชน์ เพราะไม่เชื่อในผลปฏิบัติของตน แล้วไฉนเขาจะเชื่อผู้อื่น

ฝึกมโนมยิทธิ ฝึกถอดจิตฝากไว้กับองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เอาจิตเบื้องบนมองดูโลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม น่าอยู่หรือไม่ไม่ ดูทุกสิ่งทั้ง 3 โลก สุดท้ายก็สูญสลาย ว่างเปล่าไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรย่ายึดติด เป็นวิธีทำง่าย ๆ แบบนี้ เป็นแบบพุทธจริต ทำจิตเป็นพุทธะ จิตแยกจากกายได้จริง รวมจิตเป็นหนึ่งกับองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า เจ้าทำได้ก็เป็นสิ่งวิเศษสุดแล้ว "

(รวบรวมโดย เกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ)

--------------------------------------------------------------------------------

สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม

" สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก

1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทราแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้าและพรหมในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด "

(หมาย เหตุ : เทศน์ที่ " เทวสภา " วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟังเมื่อ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น.)
************************************************************************
 

อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม

หลวง พ่อ : ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกัน เขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์อย่างไร ลุงสองลุง นายบัญชี กับลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอกนี่…บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) "บัญชีทอง" เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ท่านบอกถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้ โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่สร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก….หรือไง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเงินมากนะคือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกกันถึง พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึงพระศรีอารีย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรกก็คุยกัน แล้วท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช้ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม ที่นี้อย่างคนมีเงินน้อยๆใช่ไหม ก็มีสตางค์ไม่มาก เอาสตางค์ 9 สตางค์ 10 สตางค์ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปนะ ที่เขามีน้อยๆ บากสองบาท 10 สตางค์ 20 สตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีทองหมด ก็ถามว่า บัญชีทองหมายถึงอะไร ท่านบอก มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือว่าจะแตกต่างกันอย่างไรครับ ถ้าเป็นทองคำเหมือนกัน

หลวงพ่อ : ก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้าบัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น

ผู้ถาม : หมายถึงเป็นเจ้าภาพหล่อองค์ปฐมนี่หรือครับ

หลวงพ่อ : ใช่ ๆๆ จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม…..เหมือนกันลงบัญชีเล่มเดียวกัน

(จาก หนังสือประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม และคำสอนสมเด็จองค์ปฐม)
************************************************************************
คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐม

 นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมัง อิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรัง
สมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม
 
************************************************************************* 
  ข้อมูลดีๆจากวัดท่าซุงที่ผมรัก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=437